วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564

โดราเอมอน ความทรงจำไม่เลือนหาย

        ผมเชื่อว่าวัยเด็กของหลาย ๆ คนคงมีเรื่องราวที่คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือ "การดูการ์ตูน" การตื่นมาดูการ์ตูนทุกเช้าเสาร์อาทิตย์ถือเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่เด็กไทยอย่างเรา ๆ ต้องเคยผ่านประสบการณ์มาแทบทุกคน และในช่วงวัยเด็กของผมเองก็มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับกับการ์ตูน ช่วงเวลาเหล่านั้นได้กลายเป็นความทรงจำที่แสนอบอุ่นและชวนให้คิดถึงอยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้ผมจะอายุ 22 ปีแล้ว แต่ผมยังคงใช้เวลาว่างไปกับการหยิบหนังสือการ์ตูนสักเล่มขึ้นมาอ่าน หรือเปิดดูการ์ตูนสักเรื่องบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และหนึ่งในการ์ตูนเรื่องโปรดของผมก็คือ "โดราเอมอน"

จาก: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTmM9MqcdUmWu2B_KsgtOJZL1DVPUTxsYXDdQnZomv6_5JDnIV5bUxtZZt74N9mdHR3JmeQcVZ2uZ3220y3rQ7w6oaEgyATF_dTwcQCdaK-Q01qk1mpidyEkA0RTiQrvG86MCh2FlFlpY/s1600/118439490.jpg

กำเนิดโดราเอม่อน
        การ์ตูนชุด โดราเอมอน เป็นผลงานจาก "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" ซึ่งเป็นนามปากกาของอาจารย์ ฮิโรชิ ฟูจิโมโตะ กับอาจารย์ โมโต อาบิโกะ ซึ่งอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ทั้งคู่ได้ร่วมมือกันในการเขียนและวาดการ์ตูนชุดนี้ขึ้น และได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1969 โดยสำนักพิมพ์โชงากูกัง โดยแรกเริ่มทั้งคู่ได้ลงโฆษณาการ์ตูนเรื่องใหม่ด้วยการร่างโครงเรื่องเกี่ยวกับตัวละครสำคัญอย่างโนบิตะเด็กชายวัยประถมจอมขี้แยขึ้นมาก่อน แต่ยังไม่ได้สร้างตัวละครโดราเอมอนขึ้นมา กระทั่งวันหนึ่งอาจารย์ก็เกิดความที่คิดที่ว่า ถ้าหากเราสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ได้ก็คงจะดีไม่น้อย ตัวละครโดราเอม่อนหุ่นยนต์จากศตวรรษที่ 22 ที่จะนั่งไทม์แมชชีนเพื่อย้อนเวลากลับไปช่วยโนบิตะเด็ชายจอมขี้แย ผู้ไม่เอาไหนจึงได้ถือกำเนิดขึ้น โดยรูปลักษร์ของโดราเอมอนที่เป็นหุ่นยนต์แมวสีฟ้าที่เราคุ้นเคยกันนี้อาจารย์ได้แรงบรรดาลใจมากจากตุ้กตาล้มลุกของลูกสาวและแมวจรที่แวะเวียนมาที่บ้านบ่อย ๆ นั่นเอง 

จาก: https://thematter.co/entertainment/50-years-of-doraemon/87437

สะท้อนภาพสังคมและแฝงด้วยปรัชญา
        โดราเอมอนถือเป็นการ์ตูนที่ครองใจผู้คนทั่วโลก เพราะมีเนื้อเรื่องที่ชวนให้คิดถึงชีวิตในวัยเด็กของครอบครัวชนชั้นกลางของสังคม เป็นเรื่องราวที่เข้าถึงได้ง่ายโดยมีเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คน รวมถึงมีการหยิบยกประสบการณ์ที่เด็กทุกคนล้วนเคยสัมผัสมาร้อยเรียงเรื่องราว เช่น การที่ได้ทะเลาะ เล่นสนุก และผจภัยกับเพื่อน ๆ ซึ่งสะท้อนภาพชีวิตในวัยเด็กของใครหลาย ๆ คนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้โดราเอม่อนสามารถครองใจผู้คนทั่วโลกได้ทุกเพศทุกวัย อีกทั้งภาพประกอบและเนื้อเรื่องยังสะท้อนภาพบ้านเมืองและสังคมญี่ปุ่น ที่แสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาและเรียบง่ายในเวลาเดียวกัน มีการสะท้อนบทบาทของสถาบันครอบครัว สถาบันทางสังคม และสถาบันทางการศึกษา ที่แฝงไปด้วยแง่คิดและข้อเท็จจริงของสังคม ที่มักจะมีปัญหาเข้ามาให้แก้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ในท้ายที่สุดปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้นก็จะผ่านพ้นไป แล้วปัญหาใหม่ก็จะผ่านเข้ามาราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต ซึ่งถือเป็นปรัชญาข้อหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการ์ตูนเรื่องนี้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความสนุกของโดราเอมอนส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการที่มีเรื่องราวของของวิเศษที่สามารถนำมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ให้ดูง่ายขึ้น (รึป่าว😂) เช่น ประตูไปที่ไหนก็ได้ ไทม์แมชชีน คอปเตอร์ไม้ไผ่ กระทั่งขนมปังช่วยจำที่เป็นของวิเศษที่ผมอยากได้มากที่สุดเมื่อถึงเวลาใกล้สอบ ซึ่งของวิเศษเหล่านี้ล้วนได้แรงบรรดาลใจมาจากปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้คนคล้อยตามได้ง่ายในทำนองที่ว่า ถ้าหากมีของวิเศษเหล่านี้จริง การดำเนินชีวิตประจำวันก็คงสะดวกดีไม่น้อย อีกทั้งเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อนรักอย่างโดราเอมอนและผองเพื่อน ก็ช่วยให้การ์ตูนชุดนี้มีทั้งความสนุกและความอบอุ่นหัวใจในเวลาเดียวกัน

จาก: https://www.sanook.com/campus/921419/

ทูตทางวัฒนธรรม
        จากการที่โดราเอมอนเป็นที่นิยมและสามารถครองใจผู้คนจากทั่วโลก กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นจึงได้แต่งตั้งให้โดราเอมอนเป็นทูตสัมพันธไมตรี เพื่อเป็นตัวแทนในการประชาสัมพันวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยโดราเอม่อนถือเป็น "ทูตอะนิเมะ" ตัวแรกของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม (soft power) และเป็นตัวแทนของวงการอะนิเมะหรืออุตสาหกรรมแอนิเมชั่นญี่ปุ่นอีกด้วย

จาก http://www.chinadaily.com.cn/world/2008-03/20/content_6553019_3.htm

สรุปความสำเร็จของการ์ตูนโดราเอมอน
        โดราเอมอนถือเป็นการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเรื่องรายได้ โดยในช่วงปี 1979 - 2018 จากการที่โดราเอมอนได้ก้าวจากภาพนิ่งมาสู่ภาพเคลื่อนไหว ก็ทำให้โดราเอมอนกลายเป็นการ์ตูนแอนิเมชันซีรีส์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยมีรายได้รวมราว 37,700 ล้านบาท นอกจากนี้โดราเอมอนยังถือเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างรายได้จากค่าลิขสิทธิ์สูงถึงแสนล้านบาทต่อปี และมียอดขายหนังสือการ์ตูนกว่าหนึ่งร้อยล้านเล่ม โดยแปลไปกว่า 9 ภาษาทั่วโลก และนอกจากจะประสบความสำเร็จด้านรายได้แล้ว โดราเอมอนยังถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในบทบาทของการเป็นตัวแทนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม (soft power) ซึ่งสามารถเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความเป็นญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เช่น วัฒนธรรมประเพณีของคนญี่ปุ่น วิถีชีวิต รวมถึงงานเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเดินทางมาเยี่ยมเยือนได้อีกทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าปัจจุบันการ์ตูนโดราเอมอนจะมีอายุกว่า 52 ปีแล้ว แต่ความนิยมยังไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด เนื่องจากมีการสานต่อผลงานจากอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน และมีการปรับปรุงพัฒนาแบรนด์อยู่เสมอ โดยที่ยังคงกลิ่นอายของการ์ตูนต้นฉบับเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้โดราเอมอนยังสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของคนยุคนี้ได้ เช่นเดียวกับที่เคยเข้าไปนั่งในใจเด็กยุคปี 1969 ซึ่งโดราเอมอนพึ่งถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรก ราวกับว่าโดราเอมอนและผองเพื่อน นั่งไทม์แมชชีนข้ามเวลามาสร้างความประทับใจให้กับเรา 

จาก http://www.chinadaily.com.cn/world/2008-03/20/content_6553019_3.htm




ขอบคุณข้อมูลจาก :

นริศรา สื่อไพศาล. 2560. ครองใจผู้คน แล้วยังครองใจตลาด : สำรวจความแข็งแกร่งและการสร้างแบรนด์แบบ ‘โดราเอมอน’. ค้นเมื่อ 27 กันยายน 2564, จาก https://thematter.co/social/how-doraemon-be-legend-for-branding/155759

ปรีดิ์ปณต นัยนะแพทย์. 2560. ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ กับ 7 ผลงาน ที่ไม่ได้มีแค่โดราเอมอน. ค้นเมื่อ 27 กันยายน 2564, จาก https://thematter.co/entertainment/7-wonder-mangas-from-fujiko-f-fujio/35738

ปรีดิ์ปณต นัยนะแพทย์. 25ุ62. 50 ปี โดราเอมอน : หุ่นยนต์แมวสีฟ้าที่โตมาด้วยกัน ฑูตผู้ส่งต่อ         วัฒนธรรมญี่ปุ่นข้ามยุค. ค้นเมื่อ 27 กันยายน 2564, จาก https://thematter.co/entertainment/50-years-of-doraemon/87437

ลงทุนแมน. 2561. ปรัชญา โดราเอมอน. ค้นเมื่อ 27 กันยายน 2564, จาก https://www.longtunman.com/6763


วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564

ลักปิดลักเปิดโรคมรณะแห่งยุคการสำรวจ (Age of Discovery)

เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ โรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) เพราะเมื่อตอนเรียนชั้นประถมเด็กๆ ทุกคนก็จะถูกสอนว่าให้กินผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ จะได้ไม่เป็นโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการขาดวิตามินซี จนส่งผลให้เกิดอาการเลือดไหลออกง่าย เหงือกอักเสบ และอาการเลือดออกตามไรฟัน แต่ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงไม่ทราบว่าโรคที่เราคุ้นเคยนี้ เคยเป็นโรคที่คร่าชีวิตเหล่าบรรดานักเดินเรือในยุคแห่งการสำรวจ (Age of Discovery) สูงเป็นลำดับที่ 1 จากบรรดาโรคที่คร่าชีวิตกะลาสีแห่งยุคบุกเบิกทั้งหลาย ซึ่งสูงกว่ากาฬโรค (Plague) ที่เคยเป็นโรคระบาดใหญ่แห่งยุคกลางเสียอีก โดยประเมินกันว่าระหว่างศตวรรษที่ 16-18 มีกะลาสีเสียชีวิตเพราะโรคลักปิดลักเปิดกว่า 2 ล้านคน

จาก : http://mitsdecisions.com/2016/09/


ยุคแห่งการสำรวจ 

ในยุคแห่งการสำรวจการเดินเรือถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่ทำให้เกิดการความก้าวหน้าและการพัฒนาในด้านต่างๆจากการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ด้วยการล่องเรือออกไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ วัฒนธรรมใหม่ โดยเฉพาะโอกาสทางการค้าและการทหาร นอกจากนี้การเดินเรือในยุคนั้นยังส่งผลให้เกิดการค้นพบมากมายที่พัฒนาองค์ความรู้ในวงศ์วิชาการอย่างมาก ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ชีววิทยา  อุตุนิยมวิทยา และมนุษยวิทยา เพราะการเดินเรือในแต่ละครั้งก็มักจะมีบรรดานักวิชาการจากหลากหลายสาขาติดเรือไปด้วยเสมอ โดยครั้งที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวยุโรปมากที่สุดคือ การเดินเรือของคณะสำรวจจากอักฤษภายใต้การนำของกัปตันเจมส์ คุก เมื่อปี ค.ศ. 1768 จากการสำรวจในครั้งนั้นก็ได้เป็นแรงบรรดาลใจให้กับเหล่าบรรดานักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในอีกหลายรุ่นต่อมา

กัปตันเจมส์ คุก
จาก : https://th.garynevillegasm.com/obrazovanie/75696-dzheyms-kuk-kratkaya-biografiya-i-ekspedicii.html


การค้นพบวิธีรักษาโรคลักปิดลักเปิด

แม้ว่าการเดินเรือสำรวจจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่ในวงศ์การแพทย์ก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย เนื่องจากการเดินเรือในระยะทางไกลๆ ย่อมต้องมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะโรคปริศนาที่คร่าชีวิตลูกเรือไปกว่าครึ่งในระหว่างการเดินทาง ซึ่งโรคที่ว่านั่นคือโรคลักปิดลักเปิดนั่นเอง ซึ่งโรคนี้ทำให้ผู้ป่วยเสื่องซึมอ่อนเพลีย เกิดอาการเลือดไหลผิดปกติตามเนื้อเยื่ออ่อน เหงือกอักเสบ เลือดออกตามไรฟัน และเมื่ออาการหนักเข้าก็จะมีไข้สูงและสูญเสียการควบคุมแขนขา กระทั่งเสียชีวิต ดังนั้นภาครัฐจึงได้มอบหมายให้มีการหาวิธีรักษาโรคนี้อย่างจริงจัง โดยในช่วงแรกวิทยาลัยการแพทย์ของอังกฤษได้เสนอให้ดื่มนำ้ส้มสายชูและกรดกำมะถันเพราะเชื่อว่าจะช่วยรักษาโรคนี้ได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด จนเมื่อปี ค.ศ. 1747 แพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อว่า เจมส์ ลินด์ ได้ค้นพบวิธีรักษาจากการทดลองกับบรรดากะลาสี โดยการแยกออกเป็นหลายๆ กลุ่มแล้วให้การรักษาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งก็พบว่ากลุ่มที่กินผลไม้พวกส้มและมะนาวอาการดีขึ้นและหายเป็นปกติในระยะเวลาไม่นาน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของโรคและการที่ให้ผู้ป่วยกินส้มและมะนาวช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้อย่างไร แต่ปัจจุบันเราก็ทราบกันกันดีอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคือ วิตามินซี 

เจมส์ ลินด์
จาก : https://th.testingtreatments.org/book/why-are-fair-tests-of-treatments-needed/new-but-is-it-better/

จิ๊กซอร์ตัวสุดท้ายแห่งยุคจักรวรรดิ

การค้บพบวิธีการรักษาโรคลักปิดลักเปิดของเจมส์ ลินด์ไม่เป็นยอมรับกระทั่งกัปตันเจมส์ คุก ได้มีการออกคำสั่งให้มีการนำผักผลไม้ขึ้นเรือไปด้วยและสั่งให้ลูกเรือทุกคนกินผักผลไม้ให้มากๆ ซึ่งผลปรากฏว่าในการสำรวจครั้งนั้นเขาไม่สูญเสียลูกเรือเพราะโรคลักปิดลักเปิดเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าวิธีการรักษาที่เจมส์ ลินด์ค้นพบนั้นได้ผล และต่อมากองทัพเรือประเทศต่างๆ ในยุโรปก็ได้นำเอาสูตรการรักษานี้ไปใช้และรักษาชีวิตลูกเรือไว้ได้จำนวนมาก ซึ่งการค้นพบวิธีการรักษาโรคที่เคยคร่าชีวิตบรรดาลูกเรือไปกว่าครึ่งนี้ ก็ส่งผลให้การออกเดินเรือไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไปและมันยังเปิดทางให้แก่ยุคจักรวรรดิอันรุ่งโรจ...และน่าเกรงขาม

จาก : https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1675800

สรุป
แม้ว่าในอดีตโรคลักปิดลักเปิดจะเคยเป็นโรคที่น่าสพรึงกลัว แต่ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ก็ได้ช่วยไขกระจ่างให้โรคนี้กลายเป็นโรคที่ไม่น่ากลัวอีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็เร่งให้เกิดยุคจักรวรรดิ ยุคที่ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าผู้เจริญ ได้สร้างความสูญเสียมากกว่าโรคนี้หลายเท่านัก และนั่นตอกยำ้ว่า ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บจะน่ากลัวและคร่าชีวิตผู้คนไปขนาดไหน ก็เทียบไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดจากการที่มนุษย์หำ้หั่นกันเอง ทั้งชีวิต ทั้งอารยธรรม ทั้งวิญญาณ...


ขอบคุณข้อมูลจาก :

กรมแพทย์ทหารเรือ. 2556. ประวัติความเป็นมา. ค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2564, จาก https://www2.nmd.go.th/maritime/index.php?option=com_content&view=article&id=109&Itemid=881

ยูวัล โนอาห์ แฮรี. 2554. เซเปียนส์ประวัติย่อมนุษยชาติ. กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป.

อธิเจต มงคลโสฬศ. 2561. ย้อนอดีต “น้ำส้มสายชู – กรดกำมะถัน” รักษา “ลักปิดลักเปิด”!? เหตุใดจึงต้องสงสัยการรักษา. ค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2564, จาก https://www.hitap.net/172521





วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ฟิวดัล(ระบบศิกดินาแบบตะวันตก)

เราคงเคยอ่านหรือเคยเห็นวิถีชีวิตของคนในยุคกลางของยุโรปผ่านเรื่องเล่าหรือภาพยนตร์กันมาบ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพบ้านเมืองที่มีแต่โคลนตมและนำ้ขังเชอะแฉะ รายล้อมไปด้วยบ้านเรือนโทรม ๆ ที่ตั้งอยู่อย่างแออัดยัดเยียด ไม่ได้มีความศรีวิไลเหมือนบ้านเมืองยุโรปที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันนี้ สภาพสังคมยุโรปในยุคกลางยังอยู่ในความโกลาหนของภาวะสงครามที่สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ถูกรุกรานจากกลุ่มอารยชน และความไร้ความสามารถของชนชั้นปกครอง ส่งผลให้ประชาชนตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว บ้านเมืองไม่มีความเป็นปึกแผ่นจนเกิดระบบการปกครองแบบฟิวดัล (Feudalism) ที่ชาวนาผู้เป็นเจ้าของที่ดินต้องยกที่ดินทำกินให้กับเจ้านายและลดสถานะตนเองเป็นผู้เช่าเพื่อแลกกับการได้รับความคุ้มครอง    

ที่มา : https://www.history.com/news/french-king-kidnapping-pope-philip-iv-boniface-vii

Patrocinium ประเพณีแสวงหาผู้อุปการะคุณ

เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองชาวนาต้องยกที่ดินให้กับผู้มีอำนาจหรือเจ้านายโดยตนลดสถานะเป็นเพียงผู้เช่าตลอดกาล และชาวนาก็จะได้ทำกินบนที่ดินของตนเองที่ได้ยกให้เจ้านายไปแล้วจากความเมตตาของเจ้านาย นอกจจากนี้ชาวนายังต้องทำงานรับใช้และเสียภาษีให้กับเจ้านายในอัตราที่ต่างจากประชาชนทั่วไปตามแต่เจ้านายจะเมตตา ซึ่งเป็นการตอบแทนผู้ที่อุปถัมภ์ตน ชาวโรมันการอุปการะลักษณะนี้ว่าเรียกว่า Patrocinium 

ที่มา : https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=myminddiary2694&group=9

การผสมผสานระหว่างประเพณีของชาวโรมันและอารยชนเยอรมัน

ในเวลาต่อมาประเพณีของชาวโรมัน Patrocinium ได้ผสมผสานเข้ากับประเพณีของอารยชนที่เรียกว่า Comitatus ซึ่งหมายถึงการที่ชายฉกรรจ์หรือนักรบจะถือคำสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้านายของตนแม้ในยามสงบหรือในยามสงคราม เพราะในยามที่บ้านเมืองระสำ่ระส่าย แต่กษัตริย์ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพของชาวเมืองได้ ชาวเมืองจึงหันไปพึ่งเหล่าบรรดาขุนนางที่พอจะมีอำนาจและมีกองกำลังทหาร โดยการยอมอยู่ในอาณัติตามแบบอย่างประเพณีชาวโรมันและชาวอารยชนเพื่อความอยู่รอด เมื่อถึงยามศึกก็ต้องออกรบในฐานะทหารในอาณัติ ซึ่งเมื่อสงครามสงบลงบรรดาทหารที่ได้ร่วมรบก็จะได้รับที่ดินทำกินภายใต้การสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งระบบดังกล่าวถูกเรียกว่า ฟิวดัล (Feudalism)

ที่มา : https://www.catdumb.com/old/?p=1115003

ฟิวดัล (Feudalism) 

หมายถึงระบบศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นระบบอุปถัมภ์แบบฝรั่ง ซึ่งเป็นลักษณะการกระจายอำนาจโดยอำนาจส่วนใหญ่จะมาอยู่ที่ขุนนางไม่ใช่กษัตริย์ที่รวมอำนาจเอาไว้ เป็นรูปแบบความสัมพันธ์แบบ เจ้านายกับข้ารับใช้ โดยเกี่ยวข้องกับ ที่ดิน ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจแบบรวมศูนย์สู่โครงสร้างการปกครองแบบสามเหลี่ยมหรือพีระมิด โดยที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุด (ที่ดิน) ตามด้วยขุนนาง อัศวิน และชาวนาตามลำดับ

ที่มา : https://duffystirling.files.wordpress.com/2012/06/feudalismposter.jpg

ระบบเศรษฐกิจแบบแมนเนอร์ (Manor)

หมายถึงการที่ขุนนาง (lord) ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน แบ่งที่ดินให้กับขุนนางผู้น้อย (vassal)ไปปกครองเรียกว่าแมนเนอร์ ซึ่งแต่ละแมนเนอร์ก็จะประกอบไปด้วยที่ทำเกษตร โบสก์ และหมู่บ้าน ซึ่งคนในหมู่บ้านจะแบ่งออกเป็นเสรีชนและทาสซึ่งต้องจ่ายภาษีให้แก่ลอร์ดของแมนเนอร์นั้นๆ (vassal) เพียงแต่ทาสต้องทำงานรับใช้ลอร์ดแมนเนอร์ด้วย โดยในแต่ละแมนเนอร์จะมีเศรษฐกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะทำเกษตรเป็นหลักโดยเฉพาะการทำเกษตรแบบ Three fidld system ที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยปีแรกทำการเพาะปลูกใน แปลงที่ 1และ 2 ส่วนแปลงที่ 3 จะเก็บไว้เลี้ยงสัตว์ และในปีถัดมาก็ทำแปลงที่ 3 และ 2 แล้วเว้นแปลงที่ 1 ไว้เลี้ยงสัตว์ ทำแบบนี้หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ 

ที่มา :  http://4gfmd2018.org/2020/01/22/

สาเหตุการล่มสลายของระบบฟิวดัล

1. เกิดโรคระบาดกาฬโรคทั่วยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ทำให้แรงงานหายาก ทาสติดที่ดินมีโอกาสเป็นอิสระ โยกย้ายที่อยู่ ระบบแมเนอร์จึงสลายตัว 

2. จากสงครามครูเสด และสงคราม 100 ปี ทำให้อัศวินเสียชีวิตมาก กษัตริย์ยึดอำนาจคืนจากขุนนางโดยมีพ่อค้า ชนชั้นกลางสนับสนุน 


สรุป

สภาพสังคมที่โกลาหนจากสภาวะสงครามในยุคกลาง ผนวกกับความอ่อนแอของกลุ่มชนชั้นปกครอง ส่งผลให้เกิดระบบฟิวดัลขึ้น ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นระบบการปกครองแบบกระจายอำนาจที่ช่วยคำ้ยันฐานอำนาจของกลุ่มผู้ปกครองเอาไว้ได้ หากแต่สำหรับประชาชนแล้ว ระบบนี้ได้ลดคุณค่าของสามัญชนและสร้างความเหลื่อมลำ้โดยการกดทับพวกเขาให้เป็นเพียงฐานของพีระมิดที่คอยคำ้ยันฐานอำนาจของกลุ่มผู้ปกครองและอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น 




ขอบคุณข้อมูลจาก :

ทวีศักดิ์ กุลโยชัย. 2550. ระบบฟิวดัล(Feudalism). ค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2564, จาก http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/hist/93.htm

นันทนา กปิลกาจน์. 2530. ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮาส์.

ศิวพล ชมภูพันธ์ุ. 2557. สรุปสังคม ม.ปลาย. นนทบุรี: วัชรินทร์ พีพี.

อนันต์ชัย เลาหพันธ์ุ. 2550. ระบบการปกครองแบบฟิลดัลกับวิถีแห่งขุนนางและอัสวินสมัยกลาง. วารสารปาริชาต, 19(2), 1-8.

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

แนะนำบล็อก


บล็อกนี้ผมตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โลก โดยผมตั้งใจเรียบเรียงโดยภาษาที่เข้าใจง่ายและไม่เน้นความเป็นทางการจนเกินไป หวังว่าท่านผู้อ่านจะเพลิดเพลินกับบทความของผมนะครับ💨




👉👉👉👉👉



















โดราเอมอน ความทรงจำไม่เลือนหาย

          ผมเชื่อว่าวัยเด็กของหลาย ๆ คนคงมีเรื่องราวที่คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือ "การดูการ์ตูน" การตื่นมาดูการ์ตูนทุกเช้าเสาร์...